นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย ระบุ ค่าเงินบาทไทยเช้าวันนี้เปิดที่ระดับ 35.66 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.62 บาทต่อดอลลาร์ โดยแนวโน้มผันผวนในฝั่งอ่อนค่า หลังจากที่เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.60 บาทต่อดอลลาร์ที่ประเมินไว้ในวันก่อนหน้า
จากแรงกดดันทั้งการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ รวมถึงแรงขายทำกำไรสถานะการเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าของนักลงทุนต่างชาติที่สะท้อนผ่านโฟลว์ธุรกรรมขายสุทธิบอนด์ระยะสั้นราว 5.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำ ก็ทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเกือบ 1% ในช่วงวันที่ผ่านมา และจะยังเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท บาคาร่า แต่มองว่า เงินดอลลาร์อาจเริ่มแกว่งตัวในกรอบเนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอปัจจัยใหม่ๆ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยใหม่ๆ ที่ตลาดรออาจเป็น ถ้อยแถลงของบรรดาประธานธนาคารกลาง โดยเฉพาะประธานเฟด ในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Holes รัฐ Wyoming ในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ หลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่เคยประเมินไว้ ทำให้แนวต้านถัดไปของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 35.75-35.80 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งจากสัญญาณทางเทคนิคัลทั้งจาก RSI และ MACD ก็ชี้ว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงได้ในระยะสั้น
แต่หากเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องรุนแรงและพลิกกลับมาแข็งค่าจนหลุดระดับ 35.15 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง จะทำให้การเคลื่อนไหวของเงินบาทเข้าเงื่อนไขรูปแบบ Head and Shoulders ซึ่งอาจสะท้อนว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่องได้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.55-35.75 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักที่ลดลง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้ง ดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกที่สำรวจโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย (Philly Fed Manufacturing Index) เดือนสิงหาคมที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 6.2 จุด ดีกว่าคาด รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่ลดลงสู่ระดับ 2.5 แสนราย น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ พลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง (ConocoPhillips +3.5%, Exxon Mobil +2.4%) ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +0.23%